มะเร็งกระเพาะอาหาร : ป้องกันตนเองอย่างไรให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งร้ายชนิดนี้
มะเร็งกระเพาะอาหาร (Stomach Cancer) เป็นมะเร็งที่มีจุดเริ่มต้นมาจากกระเพาะอาหาร หลังจากนั้น เชื้อมะเร็งร้ายที่กระเพาะของเราก็จะลุกลามไปยังเนื้อเยื่อ และอวัยวะส่วนอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ไม่ว่าจะเป็นลำไส้ ตับอ่อน และหลอดอาหาร เป็นต้น
ซึ่งตามสถิติระบุว่าส่วนใหญ่แล้ว มักจะพบว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหารนั้น เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิงถึง 3 เท่าโดยประมาณ ซึ่งช่วงอายุที่พบนั้น จะอยู่ที่ประมาณ 60 – 70 ปี
โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร จัดว่าเป็นภัยเงียบที่มีความรุนแรงเลยทีเดียว เนื่องจากในระยะเริ่มต้น อาการอาจยังไม่แสดงออกมา ในบางครั้งผู้ป่วยอาจรู้สึกเรอบ่อย ปวดท้อง ทานอาหารลำบากขึ้น เป็นต้น
จึงทำให้ผู้ป่วยมักมองข้าม คิดว่าตนเองไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรร้ายแรง และมาพบแพทย์ตรวจก็พบว่าเป็นระยะลุกลามไปแล้ว ซึ่งการรักษาจะได้ผลและมีประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อเริ่มทำการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก
แต่จะดีกว่าหรือเปล่า? หากเราไม่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเลย ซึ่งในปัจจุบันอัตราการเสียชีวิตของคนไทยจากโรคมะเร็งนั้น สูงขึ้น ๆ ทุกปี ดังนั้น เราควรปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันตนเองจากมะเร็งร้ายชนิดนี้ ซึ่งการปฏิบัติตัวก็ไม่ยากเลย เริ่มต้นจากการใช้ชีวิตประจำวันของเรานี่แหละ และสามารถดูแลตัวเองด้วยวิธีง่าย ๆ ด้วยไม่กี่ข้อปฏิบัติตัว ตามที่เรามาแนะนำ ดังนี้
1. งด และหลีกเลี่ยงสูบบุหรี่
“บุหรี่” ไม่ได้เป็นเพียงสาเหตุในการเกิดโรคมะเร็งปอดเท่านั้น แต่ยังมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ระบุอีกด้วยว่า การสูบบุหรี่นั้น ทำให้โอกาสในการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย
ดังนั้น เพื่อสุขภาพที่ดีของเราเองก็ควรงดสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด รวมถึงงดและหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่สัมผัสกับควันบุหรี่มือสองด้วย
2. เลี่ยงการทานอาหารปิ้งย่าง หมักดอง และอาหารรสเค็มจัด
แน่นอนว่าอาหารปิ้ง ย่าง และหมักดอง นั้น เป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้ อาหารรสเค็มจัด ก็ยังเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคมะเร็งชนิดนี้อีกด้วย โดยมีแนวคิดหนึ่งระบุว่า “หากได้รับเกลือแกง หรือ โซเดียมคลอไรด์ ในปริมาณที่สูงจะส่งผลให้แบคทีเรีย เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (H. pyroli) ที่มีส่วนกับการเกิดแผลในกระเพาะเติบโต” และเมื่อเยื่อบุผนังกระเพาะอาหารของเราอักเสบเนื่องจากเจ้าแบคทีเรีย เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร นี้แล้วละก็ เซลล์ของเราจะเปลี่ยนรูปและกลายเป็นเชื้อมะเร็งร้ายในที่สุด
แน่นอนว่า หากให้งดทานไปเลย อาจจะปรับตัวได้ยาก แต่ Boostuplifecenter ขอแนะนำว่าให้ลดการทานอาหารเหล่านี้ให้น้อยลง หากยังทานบ่อยและทานในปริมาณที่เยอะนั้น เจ้ามะเร็งร้ายอาจถามหาได้
3. ทานผัก ผลไม้ และสมุนไพร ช่วยป้องกัน มะเร็งกระเพาะอาหาร ได้ดีทีเดียว
การทานผักผลไม้บางชนิด ไม่ว่าจะเป็นผักหลากสี สับปะรด ส้ม มะละกอ มะเขือเทศ เป็นต้น สามารถช่วยป้องกันเชื้อมะเร็งได้ นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกมังคุด ถั่วเหลือง ใบบัวบก ขมิ้น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด เป็นต้น
และยังมีผลงานทางวิทยาศาสตร์รองรับอีกด้วย ว่าสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้อีกด้วย
4. ดื่มน้ำเปล่าเยอะ ๆ
โดยปกติทั่วไปจะแนะนำให้ดื่มน้ำ 2-3 ลิตร/วัน เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอ และสามารถกระตุ้นอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ดีมากขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยกำจัดและเจือจางสารพิษในร่างกาย ซึ่งจะช่วยป้องกันตัวเราให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งได้ดี และควรงดดื่มน้ำที่มีส่วนผสมจากน้ำตาล ไม่ว่าจะเป็นน้ำหวาน น้ำอัดลม ชา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่าง ๆ
5. ออกกำลังกายเป็นประจำ
หลายท่านสงสัยว่า “การออกกำลังกาย” นั้น สามารถช่วยป้องกันเจ้ามะเร็งชนิดนี้ได้อย่างไร ซึ่งการออกกำลังกายอย่างเป็นประจำนั้น จะช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่อยู่ในระบบภูมิคุ้มกันนั่นเอง และเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของเราดีร่างกายก็จะสามารถกำจัดและทำลายเซลล์ผิดปกติได้ด้วยตนเอง
6. อย่าเฉยเมย เมื่อเป็นโรคกระเพาะเรื้อรัง
เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter pylori) นั้น เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ในการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร ตามสถิติยังระบุอีกด้วยว่าแบคทีเรีย (Bacteria) เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter pylori) เป็นต้นเหตุอันดับหนึ่งของการเกิดโรคกระเพาะ
ฉะนั้น หากเพื่อน ๆ คนไหนมีอาการเจ็บ แสบ ร้อน ที่ท้องอยู่บ่อย ๆ คล้ายกับเป็นโรคกระเพาะเรื้อรั้ง Boostuplifecenter ขอแนะนำให้ส่องกล้องตรวจดูกระเพาะอาหาร จะได้ทราบสาเหตุที่แน่ชัด และได้ทราบถึงวิธีปฏิบัติและดูแลตนเอง เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งชนิดนี้อีกด้วย
ทั้งนี้ สาเหตุหนึ่งของการเป็นมะเร็งกระเพาะนั้น จะขึ้นอยู่กับนิสัยของเราทั้งการใช้ชีวิตและการกิน ซึ่งถ้าเราไม่สูบบุหรี่ ไม่กินอาหารจำพวกปิ้ง ย่าง หมักดอง รวมถึงอาหารรสเค็มจัดก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้ระดับหนึ่งแล้ว และอย่าลืมตรวจสุขภาพเป็นประจำทุก ๆ ปี เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอยู่เสมอ หากเกิดการเปลี่ยนแปลง ให้รีบไปพบคุณหมอโดยด่วน จะได้รับการรักษาได้อย่างทันท่วงที
No responses yet