โรคมะเร็ง : สุดยอดเทคนิค! ผ่อนคลายความเครียดของผู้ป่วยมะเร็ง

โรคมะเร็ง (Cancer) คือ โรคร้ายที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตนเอง หรือเกิดขึ้นกับคนที่เรารัก เพราะมะเร็งนั้น เป็นโรคที่มีอัตราคร่าชีวิตคนไทยสูงมาก และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลายคนที่ต้องเผชิญกับการเป็นมะเร็ง จึงทำให้เกิดความเครียดสะสม ไม่ว่าจะเรื่องของการรักษา ค่าใช้จ่าย ความกังวลว่าตนเองจะเป็นภาระให้ครอบครัว ไปจนถึงเรื่องของอาการที่อาจทรุดหนักลงในแต่ละวัน

แต่คุณรู้ไหมครับว่า การที่เราเครียดจัดนั้น ยิ่งเป็นตัวการทำให้สุขภาพทรุดโทรมลงทั้งกายและใจ ฉะนั้น วันนี้บทความของ Boostuplifecenter จึงมี สุดยอดเทคนิค! ในการผ่อนคลายความเครียดของผู้ป่วยโรคมะเร็ง มาฝากกันครับ ซึ่งผู้ป่วย หรือผู้ที่ดูแลผู้ป่วยเอง ก็สามารถนำไปปรับใช้กันได้ครับ ..

1. ออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกาย คือตัวช่วยที่ดีที่สุด ที่ทำให้ร่างกาย และจิตใจแข็งแรง ร่างกายที่หมั่นออกแรงหรือออกกำลังอยู่เสมอ จะมีความกระชับ คล่องแคล่ว ช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า เพิ่มวิตามินดีในร่างกาย ช่วยกระตุ้นระบบประสาทภายในร่างกาย

นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังทำให้จิตใจของเรานั้น รู้สึกสดชื่น แจ่มใส อารมณ์ดี และมีความสุขขึ้น เพราะสารเอนดรอฟินน์ (Endorphin) ที่หลั่งออกมา ในระหว่างการออกกำลังนั่นเอง ดังนั้น ลองเลือกการออกกำลังกายเบา ๆ แบบไม่หักโหม ไม่ว่าจะเป็นเดินเร็วในสวนสาธารณะ เล่นโยคะ หรือว่ายน้ำ เป็นต้น

2. ใส่ใจเรื่องอาหาร

การเลือกรับประทานอาหารนั้น มีผลต่อสุขภาพของผู้ป่วยโรคมะเร็งโดยตรง เราจึงควรหันมาใส่ใจกับอาหารในแต่ละมื้อให้มากขึ้น ควรเลือกทานอาหารเพื่อสุขภาพ สด สะอาด ไขมันต่ำ และที่สำคัญเลย ต้องไม่ปรุงรสจัด  ซึ่งในปัจจุบัน ก็มีการคิดค้นสูตรอาหารที่ดีต่อสุขภาพแถมยังรสชาติอร่อยขึ้นมามากมาย

รับรองได้ว่าอาหารเพื่อสุขภาพ และความอร่อยนั้นสามารถไปด้วยกันได้อย่างแน่นอน อาหารที่มีประโยชน์นั้น จะส่งผลให้ร่างกายของเราแข็งแรง และทำงานได้เป็นปกติ ช่วยเติมสารอาหารที่ร่างกายต้องการ ช่วยควบคุมระบบการทำงานของร่างกายทำงานเป็นปกติ ไม่ว่าจะเป็นการย่อยอาหาร การหมุนเวียนของโลหิต และการจับถ่าย

นอกจากนี้ ยังทำให้อารมณ์ต่าง ๆ ผ่อนคลายจากการหลั่งฮอร์โมนตามธรรมชาติเมื่อร่างกายได้รับสารอาหารต่าง ๆ อย่างครบถ้วนอีกด้วย

3. ฟังเพลงเพื่อผ่อนคลาย ช่วยผ่อนคลายความเครียดของผู้ป่วย โรคมะเร็ง ได้ดีเลยทีเดียว

การฟังเพลงนั้น เป็นการผ่อนคลายความเครียดได้ดีเลยทีเดียว ผู้ป่วยควรเลือกฟังเพลงที่เป็นดนตรีบรรเลงจังหวะช้า ๆ และนุ่มนวล ฟังเพลิน ๆ อาจเป็นเสียงเครื่องดนตรี หรือเสียงธรรมชาติต่าง ๆ การฟังดนตรีที่มีจังหวะช้า และโทนเสียงเหมาะสม จะช่วยให้สมองและจิตใจของผู้ป่วยโรคมะเร็งผ่อนคลาย และมีสมาธิมากขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้การสูบฉีดเลือดคล่องตัวขึ้นด้วย

อีกทั้ง ดนตรีประเภทนี้ ยังทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้นอีกด้วย จึงเหมาะสำหรับเปิดบรรเลงระหว่างการนอนพักผ่อน ไม่ว่าจะเป็นการนอนกลางวัน หรือการนอนหลับในเวลากลางคืน

4. ลองฝึกนั่งสมาธิ

การนั่งสมาธิ เป็นวิธีที่ทำให้จิตใจของเรานั้น จดจ่อ ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นการฝึกควบคุมความคิดและอารมณ์ ทำให้สมอง และจิตใจปลอดโปร่ง ปล่อยวาง ทำให้ความเครียดหายไปอย่างได้ผล ถือเป็นอีกหนึ่งสุดยอดเทคนิคผ่อนคลายความเครียด ตามวิถีชาวพุทธที่น่าสนใจ และยังสามารถฝึกปฏิบัติได้ทุกคน

นอกจาก จะช่วยลดความเครียดได้ดีแล้ว ยังช่วยให้ความจำดี และช่วยทำให้สมองทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้ผิวพรรณอ่อนเยาว์ ผ่องใสอีกด้วย

5. ทำงานอดิเรกยามว่าง ช่วยลดความเสี่ยงของ โรคมะเร็ง ได้

ในเวลาว่าง เราอาจลองเลือกทำงานอดิเรกที่ตัวเองชอบ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง การทำสวน การปลูกต้นไม้ ทำงานฝีมือ หรือเลี้ยงสัตว์ รวมไปถึงการสะสมสิ่งของต่าง ๆ อย่างของที่ระลึก แสตมป์ และตุ๊กตา เป็นต้น

การทำงานอดิเรกที่ตัวเองชอบ และสนใจนั้น จะทำให้จิตใจเราผ่อนคลาย ซึ่งเป็นการลดความเครียดที่ดีที่สุด และมีความสุขขึ้น อีกทั้งยังเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อีกด้วย

6. เข้าร่วมกลุ่มบำบัด พูดคุยกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง

การเข้าร่วมกลุ่มบำบัดนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่ให้เข้าใจว่าเป็นการเข้าร่วมสังคม และไปพบปะพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เราต้องพบเจอร่วมกับผู้ป่วยคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาการของโรค ประสบการณ์การจากการรักษา และการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

การเข้าร่วมกลุ่มบำบัดนั้น ทำให้เรามีมุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับโรคมากขึ้น ได้ให้ข้อแนะนำที่อาจเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น และยังสามารถนำเอาเรื่องราวที่คิดว่ามีประโยชน์ต่าง ๆ นั้น มาปรับใช้กับตัวเองได้เช่นกัน

และนี่ก็คือ.. สุดยอดเทคนิคการผ่อนคลายความเครียดสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้กับตัวเองได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ป่วยเอง หรือมีคนใกล้ชิดที่เป็นผู้ป่วย ก็สามารถนำเทคนิควิธีการเหล่านี้ไปลองปฏิบัติกันได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ความรัก กำลังใจ และความเข้าใจจากคนในครอบครัว ที่จะทำให้ผู้ป่วยสามารถยืดหยัดต่อสู้กับอาการป่วยได้ดีที่สุด Boostuplifecenter ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยทุก ๆ ท่านนะครับ : )