มะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูก ต้องรู้ก่อนสาย! ภัยร้ายใกล้ตัว

ทุกวันนี้สภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตของคนเรา ต้องยอมรับเลยว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และทุกอย่างบนโลกก็มีความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม วิถีชีวิต ตึกราบ้านช่อง อาคารสถานที่ เทคโนโลยี และมลพิษในอากาศที่มากขึ้น ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ มากมาย เช่น โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ รวมไปถึงโรคมะเร็ง (มะเร็งปอด, มะเร็งปากมดลูก และอื่น ๆ )

มะเร็งปากมดลูก

อีกสิ่งหนึ่งที่พัฒนาไปตามยุคสมัยด้วยก็คือ “เชื้อโรค เชื้อไวรัส และเชื้อแบคทีเรีย” สิ่งที่ก่อให้เกิดโรคร้ายต่าง ๆ และภัยร้ายที่แอบแฝงมาเงียบ ๆ ที่ผู้หญิงควรรู้ให้ทันก่อนสาย เพราะยิ่งรู้ก่อนก็รักษาให้หายก่อน สาเหตุเกิดได้จากหลายปัจจัย ที่ร้ายกาจมากที่สุดคืออาการของโรคไม่ได้บ่งบอกถึงว่าจะเป็นโรคร้ายใด ๆ เลย เพราะจะเป็นแค่อาการเหมือนเราอาจจะเป็นอยู่ประจำ เช่น การมีประจำเดือนมามากบางคนก็มีอาการนี้เป็นปกติ อาการตกขาว ทำให้เราไม่ได้สังเกตว่ามันมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ทำให้อาการเริ่มรุนแรงมากขึ้น จนกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เป็นระยะที่ 2 หรืออาจจะ 3 แล้ว ทำให้การรักษาของเรายากขึ้นกว่าระยะแรก ๆ เพราะฉะนั้นผู้หญิงทุกคนควรที่จะหมั่นสังเกต และหมั่นตรวจเช็คสุขภาพให้ดี เพื่อที่จะได้ป้องกันและระมัดระวังให้ดีมากขึ้น หรือถ้าใครเริ่มที่จะเป็นแล้วก็จะได้รักษาให้หายได้ก่อนที่จะเป็นระยะที่มากขึ้น การรักษาก็จะยากขึ้น และรุนแรงมากขึ้น

มะเร็งปากมดลูก

จริง ๆ แล้วมะเร็งปากมดลูก เกิดจากการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ ที่มีความสามารถแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ ในระยะแรกเริ่มอาจจยังไม่มีอาการมากนัก แต่พอเซลล์เริ่มเจริญเติบโตมากขึ้นทำให้มีอาการตามมา เช่น การมีเลือดออกทางช่องคลอด ปวดกระดูกเชิงกราน หรือปวดในระหว่างมีเพศสัมพันธ์ และมีเลือดออกหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ อาจจะดูเหมือนไม่ร้ายแรงมากเหมือนกับปกติทั่วไป แต่! มันอาจบ่งบอกถึงการก่อตัวของมะเร็งปากมดลูกได้

มะเร็งปากมดลูก

สาเหตุของการเกิด มะเร็งปากมดลูก

ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก มากกว่า 90% คือมาจากการติดเชื้อ Human Papillomavirus (HPV) ล่าสุดพบว่ามีเชื้อชนิดนี้มากกว่า 150 สายพันธุ์ แต่มี 2 สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกคือ HPV ชนิดที่ 16 และ 18 โดยติดผ่านทางเพศสัมพันธ์ สามารถติดต่อได้หลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น ปาก ช่องคลอด ทวารหนัก หรือจากการสัมผัสกับเชื้อโดยตรง และยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ อีกที่ทำให้เกิดเซลล์มะเร็งปากมดลูกได้ เช่น การสูบบุหรี่ ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ การใช้ยาคุมกำเนิด การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย (ก่อนวัยอันควร) และการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ

มะเร็งปากมดลูก

แต่ประมาณ 90% ของการติดเชื้อ HPV ไม่มีอาการและหายเองได้ภายในระยะเวลา 2 ปี การติดเชื้อ HPV อาจทำให้เกิดหูดตามร่างกายอีกด้วย อย่างไรก็ตามการติดเชื้อ HPV ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง DNA บนเซลล์ปากมดลูก อาจจะทำให้เซลล์เจริญเติบโตผิดปกติจนกลลายเป็นเซลล์มะเร็ง และก่อให้เกิดเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ในที่สุด

อาการของมะเร็งปากมดลูก

ในระยะแรกอาจยังไม่แสดงอาการที่ชัดเจน แต่มักจะแสดงอาการที่รุนแรงขึ้นในระยะที่มะเร็งได้เกิดการลุกลามไปแล้ว มีอาการปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ มีอาการตกขาวปนเลือด เลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ รวมไปถึงอาการไม่อยากอาหาร น้ำหนักลด อ่อนล้า ปวดกระดูกเชิงกราน มีเลือดออกหลังตรวจภายใน “การตรวจพีวี” ถ้ารุนแรงมากขึ้น ก็จะมีอาการ ขาบวม ปวดหลัง ปัสสาวะมีเลือดปนออกมาอีกด้วย มะเร็งปากมดลูกนั้นมีระยะเหมือนกับมะเร็งชนิดอื่น ๆ

มะเร็งปากมดลูก

ระยะแรกเริ่ม : เป็นระยะเซลล์บนปากมดลูกเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ

ระยะที่ 1 : มะเร็งเริ่มก่อตัวขึ้นบริเวณปากมดลูก และเริ่มมีการแพร่กระจาย

ระยะที่ 2 : มะเร็งเริ่มมีการแพร่กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ บริเวณใกล้เคียง และอาจจะเข้าไปที่เนื้อเยื่อข้างปากมดลูก

ระยะที่ 3 : มะเร็งเริ่มแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อผนังอุ้งเชิงกราน หรือไปกดทับท่อไต ทำให้การทำงานของไตเสื่อม และทำให้เกิดการอุดตันของระบบปัสสาวะ

ระยะที่ 4 : มะเร็งมีการแพร่กระจายออกจากอวัยเพศออกไปสู่ส่วนต่าง ๆ อาจผ่านกระดูกเชิงกรานเข้าไปในลำไส้ตรง กระเพาะปัสสาวะโดยตรง และไปยังส่วนอื่น ๆ ในร่างกาย

การฉีดวัคซีน มะเร็งปากมดลูก

เชื้อ HPV เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นภัยร้ายที่อันตราย ทำให้มีการพัฒนาและสร้างวัคซีนขึ้นมาเพื่อป้องกันเชื้อ HPV นี้ โดยวัคซีนนี้ เรียกว่า “Cervarix” สามารถป้องกันการเกิดของมะเร็งปากมดลูกได้มากถึง 70% และยังมีวัคซีนที่เรียกว่า “Gardasil” ซึ่งช่วยในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้เหมือนกัน และยังป้องกันหูดได้ถึง 95% โดยทั่วไปแล้ว วัคซีน HPV จะให้ได้ตอนอายุ 9 – 26 ปี

มะเร็งปากมดลูก

การฉีดวัคซีนควรฉีดให้ครบถ้วน

ฉีดครั้งที่ 1 : กำหนดวันที่ต้องการจะฉีด
ฉีดครั้งที่ 2 : นับหลังจากเข็มแรก 1 – 2 เดือน
วัคซีนครั้งที่ 3 : นับหลังจากเข็มแรก 6 เดือน

วัคซีน HPV จะช่วยป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพหากได้รับตั้งแต่ยังไม่ได้มีการติดเชื้อเกิดขึ้น

การรักษา มะเร็งปากมดลูก

แนวทางการรักษาโรคมะเร็งปากมดลูก แต่ละระยะและอาการป่วยมีกระบวนการรักษาที่แตกต่างกัน โดยจะมีการนำเยื่อบุปากมดลูกไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ และทำการใช้กล้องส่องตรวจปากมดลูก แล้วตัดชิ้นเนื้ออกมาเพื่อตรวจว่าเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่ และทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำความเข้าใจกับผู้ป่วยถึงผลดีและผลเสียที่จะเกิดระหว่างและหลังจากการรักษา

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

จากนั้นทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายแขนงจะวางแนวทางการรักษาที่เหมาะสมร่วมกัน เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากที่สุด สำหรับในระยะแรกเริ่ม การใช้วิธีการผ่าตัดเป็นวิธีที่เห็นผลได้ดีมากที่สุด หากทำการรักษาได้ถูกต้องจะทำให้หายได้เกือบจะ 100% หากเซลล์มะเร็งได้แพร่กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ จนเป็นระยะที่ 2 3 หรือ 4 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำให้เข้ารับการรักษาร่วมกันที่อาจจะมากกว่า 1 วิธีโดยแพทย์จะดูตามความเหมาะสมของสภาพร่างกายและอาการของผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นการฉายรังสี เคมีบำบัด การฝังแร่ และการผ่าตัด ซึ่งแต่ละวิธีขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ป่วย

การรักษา มะเร็งปากมดลูก ด้วย ภูมิคุ้มกันบำบัด

การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดในต่างประเทศมีความนิยมที่แพร่หลาย ข่าวล่าสุดเกี่ยวกับความก้าวหน้าของการรักษามะเร็งในสหรัฐอเมริกามีการประกาศว่าภายในปี 2020 ว่าอาจจะยกเลิกการรักษาด้วยการให้เคมีบำบัด โดยจะใช้การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด

อดีตประธานธิบดีสหรัฐอเมริกา
(รูปภาพจากเว็บไซต์ : www.businessinsider.com)

แล้วการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดคืออะไร ? การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด คือ การใช้กลไกทางธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายของเรา หนึ่งในนั้นก็คือ “ระบบภูมิคุ้มกัน”เพื่อไปกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย รวมไปถึงเซลล์มะเร็ง ได้ด้วยตัวของเขาเอง เราจึงต้องกระตุ้นเม็ดเลือดขาว เพื่อเป็นการเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอยู่เสมอ ทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงและไม่เป็นโรคร้ายต่าง ๆ ได้ง่าย ในเม็ดเลือดขาวของเรานั้น ก็มีเซลล์ที่เรียกว่า Macrophage, T Cell และNK Cell จะคอยกำจัดเชื้อโรค เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย และเซลล์ผิดปกติต่าง ๆ ที่เข้ามาสู่ร่างกายของเรา ซึ่งสารที่มีความสำคัญในการช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพนั้นก็คือ “เบต้า กลูแคน” ซึ่งได้รับการยอมรับจากวิทยาศาสตร์การแพทย์และมีงานวิจัยแพร่หลายมากกว่า 140,000 ฉบับ รองรับว่า เบต้า กลูแคน สามารถกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของเรามีประสิทธิภาพใน “การรับรู้”  นอกจากนี้ เบต้า กลูแคน ยังช่วยในการลดผลข้างเคียงจากการให้เคมีบำบัดและการฉายแสงที่ใช้ในการรักษามะเร็งได้อย่างเห็นผล ซึ่งสารสกัดเบต้ากลูแคนชนิดที่ดีที่สุดก็คือ 1,3/1,6D ที่สกัดได้จากผนังของยีสต์ขนมปัง นักวิทยาศาสตร์ให้การยอมรับถึงประสิทธิภาพที่มากกว่าเบต้ากลูแคนชนิดอื่น ๆ

เบต้ากลูแคน

ซึ่งเรามีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงมาแนะนำคือ “เบต้า ซีไอ” เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดสารสกัดธรรมชาติจากเบต้ากลูแคนและเฮสเพอริดิน สิทธิบัตรจากสหรัฐอเมริกา ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว เพิ่มภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และปรับฮอร์โมนให้ทำงานเป็นปกติ นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการข้างเคียงจากการให้เคมีบำบัดและการฉายแสง ช่วยลดการอักเสบและอาการภูมิแพ้ต่าง ๆ มีผู้ใช้มากกว่า 5,000 ราย ใช้แล้วพอใจในผลลัพธ์และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ได้รับรองมาตรฐานจากองค์การอาหารและยา (อย.) และผลิตในโรงงานที่ได้รับมาตรฐานการผลิต GMP และ HACCP

สนใจศึกษาผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม คลิ๊ก…

ดูแลสุขภาพด้วย เบต้าซีไอ “เม็ดเลือดขาวแข็งแรง คุณก็แข็งแรง”

ผลิตภัณฑ์เบต้าซีไอ สารสกัดจากธรรมชาติ
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
แฟนเพจ Facebook

Categories:

Tags:

No responses yet

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *